FTSE Russell Disclosure
แนวทางการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance หรือ ESG) ของกลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง ได้รับการผนวกและบูรณาการเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อผลักดันให้ทุกหน่วยธุรกิจมีการดำเนินงาน ที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่่มุ่งเน้นการลด การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสร้างสรรค์นวัตกรรม ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตทางธุรกิจ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้าน ESG ไม่เพียงช่วยเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งขององค์กร แต่ยังมีส่วนช่วยอย่างเป็นรูปธรรม ต่อวาระสำคัญระดับโลกในด้านการปกป้องสภาพภูมิอากาศระดับโลกอีกด้วย
กลุ่มบริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายการทำงานด้านความยั่งยืนปี 2030 ซึ่งธุรกิจปูนซีเมนต์ในประเทศไทยก็มีเป้าหมายเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เราได้พัฒนาเป้าหมายที่ท้าทายมากขึ้นบนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ให้สอดคล้องกับทุกหน่วยธุรกิจทั่วทังกลุ่ม เพื่อให้มั่นใจว่าในฐานะกลุ่มบริษัทฯ เราจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง

การทำงานด้านสิ่งแวดล้อม
การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน (CLIMATE AND ENERGY)
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ทบทวนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขอบเขตที่่ 1: จากเป้าหมายเดิมที่ 530 กิโลกรัมตันคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิ/ตันซีเมนต์ติเชียส เป็น 470 กิโลกรัมตันคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิ/ตันซีเมนต์ติเชียส ภายในปี 2573 ลดลงคิดเป็นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีอ้างอิงปี 2563 ทั้งนี้เป้าหมายปี 2573 สอดคล้องกับเส้นทางควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2593 ตามรายงานของทบวงพลังงาน ระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ EIA)
เพื่อให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุุเป้าหมายดังกล่าว ได้กลุ่มบริษัทฯ จึงได้ตังกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังนี้้
- การเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ
- การใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทางเลือก ทั้งพลังงาน ความร้อนและพลังงานไฟฟ้า
- การปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ เพื่อเสริมรากฐาน และลดการสูญเสียพลังงานตลอดกระบวนการผลิต
- การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ ในการบรรลุุเป้าหมาย
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการและมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการพลังงานความร้อน โดยเพิ่มอัตราการใช้พลังงานทดแทน (Thermal Substitution Rate: TSR) ผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกแทนถ่านหินมากขึ้น เชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuel: AF) โครงการพลังงานไฟฟ้า ผ่านการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำในเชิงพาณิชย์ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่มบริษัทฯ เป็นต้น
สำหรับโครงการที่สำคัญในปีที่ผ่านมาท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ รายงานประจำปีแบบ 56-1 One Report หัวข้อการพัฒนาอย่างยืน หรือเว็บไซต์บริษัทฯ เมนูการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม บนเว็บไซต์ของบริษัทฯ https://siamcitycement.com/th/esg/-e-environmental
การจัดการคุณภาพอากาศ ของเสีย และมลพิษจากการดำเนินงาน
การบริหารจัดการคุณภาพอากาศ
กลุ่มบริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมและลดการปล่อยมลพิษทางอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงาน ชุมชนโดยรอบ และสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดทำ แผนการจัดการคุณภาพอากาศเชิงรุก (Proactive Air Quality Management Plan) ครอบคลุมทั้งภายในโรงงานและพื้นที่โดยรอบ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการคุณภาพอากาศให้เกินกว่าข้อกำหนดของกฎหมาย
ภายใต้แผนดังกล่าว กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินมาตรการสำคัญ ดังนี้
- ควบคุมและลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ จากโรงงานที่ใช้ของเสียเป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบในการผลิต โดยรักษาค่าการปล่อยให้อยู่ในเกณฑ์ที่เข้มงวด
- ติดตั้งระบบบำบัดฝุ่นประสิทธิภาพสูง เช่น ระบบถุงกรอง (Bag House) และระบบดักฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator: ESP) เพื่อกรองฝุ่นละอองก่อนระบายออกสู่บรรยากาศ
- ติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System: CEMS) เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการทำงานของระบบบำบัดฝุ่นให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
- ใช้หลัก “ลำดับชั้นการบรรเทาผลกระทบ” (Mitigation Hierarchy) ในการวางกลยุทธ์บริหารจัดการคุณภาพอากาศ เพื่อลดความเสี่ยงจากมลพิษและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาด
- เสริมสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่น และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน
กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรทางธุรกิจในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมตาม ประกาศกระทรวง เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงงานปูนซีเมนต์ที่ใช้ของเสียเป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นวัตถุดิบในการผลิต พ.ศ. 2549 รวมทั้งร่วมมือกับบริษัทในเครือในการบริหารจัดการของเสีย โดยนำของเสียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงและวัตถุดิบทดแทนในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและวัตถุดิบธรรมชาติ อันนำไปสู่การลดการปล่อยมลพิษและสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน กลุ่มบริษัทฯ ได้นำ ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001 มาใช้ในการบริหารจัดการและควบคุมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งองค์กร โดยมีการรับรองจากหน่วยงานตรวจประเมินอิสระที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น SOCOTEC Certification UK Ltd, Intertek Certification Limited และ Management System Certification Institute (Thailand) เป็นต้น ปัจจุบัน บริษัทย่อยและหน่วยงานภายใต้กลุ่มธุรกิจกว่าร้อยละ 83 ได้รับการรับรองระบบ ISO 14001 แล้ว ส่วนสัดส่วนที่เหลืออยู่ อยู่ในแผนดำเนินการเพื่อขอรับรองมาตรฐานในระยะต่อไป เพื่อมุ่งสู่การมีระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งกลุ่มบริษัทฯ
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้ จัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง สำหรับการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบควบคุมมลพิษ เช่น Bag House, ESP และ CEMS รวมถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ รายงานผลตามกฎหมาย และพลังงานที่ใช้ในการเดินระบบ นอกจากนี้ ยังมี การลงทุนด้านนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา (R&D) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมลพิษและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีการใช้ของเสียเป็นเชื้อเพลิงและวัตถุดิบทดแทน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากการตรวจวัดและติดตามประสิทธิภาพของ ระบบตรวจวัดการระบายมลพิษพบว่าค่าความเข้มข้นของมลพิษทุกพารามิเตอร์อยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับอนุญาต ได้แก่ ฝุ่นละอองรวม (TSP) ≤ 50 mg/m³, ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ≤ 30 ppm, ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOₓ) ≤ 500 ppm, โลหะหนัก: ปรอท (Hg) ≤ 0.1 mg/m³, แคดเมียมและตะกั่ว (Cd + Pb) รวมกัน ≤ 0.2 mg/m³ และโลหะหนักอื่นรวมกัน ≤ 1 mg/m³ เป็นต้น
ผลลัพธ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามเป้าหมายเชิงกระบวนการของกลุ่มบริษัทฯ และความมุ่งมั่นในการควบคุมการปล่อยมลพิษให้อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมได้ใน https://investor.siamcitycement.com/storage/content/sustainable/sccc-sd-index-2024-en.pdf
เศรษฐกิจหมุนเวียน
การจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่
กลุ่มบริษัทฯ ผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่ ธุรกิจของเรา เพื่อให้บรรลุุเป้าหมายการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ในการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นการลดของเสียจากการก่อสร้างและ ยืดอายุุการใช้งานของอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน เราส่งมอบ โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและยั่งยืนผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงปููนซีเมนต์ไฮดรอลิกที่มีสัดส่วนปูนเม็ดลดลง ซึ่งเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทดแทนการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แบบดั้งเดิม
หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่ธุรกิจนำโดยบริษัท อินทรี อีโคไซเคิล จำกัด (อินทรี อีโคไซเคิล) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทฯ และมีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชัน การจัดการของเสีย ตั้งแต่ปี 2544 อินทรี อีโคไซเคิลได้เปลี่ยน ของเสียให้เป็นทรัพยากรที่่มีคุณค่าโดยใช้กระบวนการเผาร่วมในเตาเผาปูนซีเมนต์ ซึ่งช่วยกำจัดของเสียโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่่อกำหนดมาตรฐานการจัดการของเสียอันตราย พร้อมทั้งดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะ ด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน
ความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ต่อเศรษฐกิจหมุนเวียน ยังรวมถึงการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการพัฒนา อย่างต่อเนื่องในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าของทรัพยากร และลดความจำเป็นในการสกัดวัตถุุดิบจากธรรมชาติิโดยการใช้ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมต่างๆ แทนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีจำกัดและเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตปููนซีเมนต์แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยอนุรักษ์ทรัพยากร แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหา การกำจัดของเสีย ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายในปี 2573 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการทำงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงและวัตถุดิบที่ได้จากขยะมาผลิตปูนเม็ดจาก 0.5 ล้านตันเป็น มากกว่า 1.4 ล้านตันต่อปี และ เพิ่มการใช้วัตถุดิบพลอยได้ ซึ่งรวมถึงเถ้าลอยและตะกรัน ประมาณร้อยละ 65 ให้บรรลุเป้าหมายที่ 1.7 ล้านตันของการใช้วัตถุดิบพลอยได้ต่อปี
กลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นที่การลดการพึ่งพาวัตถุดิบหลักและเพิ่มอายุการใช้งานของโครงสร้างที่สร้างด้วยผลิตภัณฑ์ของเรา เรามุ่งมั่นส่งเสริมความยั่งยืนผ่านแนวทางสำคัญดังต่อไปนี้
- ส่งเสริมผลิตภัณฑ์หมุนเวียนและเชื้อเพลิงทางเลือก เราให้ความสำคัญกับการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกและการผสานผลิตภัณฑ์หมุนเวียนเข้ากับกระบวนการดำเนินงานของเรา ซึ่งรวมถึงการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านอัตราการใช้พลังงานทดแทนและการลดสัดส่วนปูนเม็ด เพื่อลดการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
- ลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ เราดำเนินโครงการที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอน เช่น การใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกและการปิดวงจรคาร์บอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราในการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการก่อสร้างที่ยั่งยืน
- ความร่วมมือในการบริหารจัดการขยะจากการก่อสร้างและรื้อถอน เรากำลังแสวงหาความร่วมมือทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อจัดการขยะจากการก่อสร้างและรื้อถอนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งให้วัสดุเหล่านี้ได้รับการนำกลับมาใช้ใหม่ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน
- เป้าหมายขยะเป็นศูนย์ต่อหลุมฝังกลบ เรามุ่งลดขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีขยะที่ต้องถูกฝังกลบ ด้วยการนำกระบวนการรีไซเคิลขั้นสูงมาใช้ ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัดลงได้อย่างมาก
การบริหารจัดการขยะและของเสีย
กิจกรรมของมนุษย์ทั่วโลกก่อให้เกิดของเสียจำนวนปีละ 2,000 ล้านตัน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างภาวะปนเปื้อนต่อระบบนิเวศต่าง ๆ ซึ่งวิธีการกำจัดของเสียที่พบมากที่สุดกว่าร้อยละ 31 ของวิธีกำจัดทั้งหมด คือ วิธีการฝังกลบ ทว่า วิธีการดังกล่าวนี้ทำให้ของเสียหลายประเภทเกิดการรั่วไหลลงสู่พื้นดิน แหล่งน้ำใต้ดิน และแหล่งน้ำในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ กว่าร้อยละ 20 ของการปล่อยก๊าซมีเทน เกิดจากสถานที่ฝังกลบขยะแบบเปิด ด้วยความมุ่งมั่นในการจัดการขยะของกลุ่มบริษัทฯ จึงมีการตั้งเป้าหมาย Zero Waste to Landfill ลดของเสียสู่บ่อฝังกลบเป็นศููนย์ พร้อมได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เพื่อลดปริมาณขยะ โดยดำเนินการบริหารจัดการด้วยการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีขยะที่ถูกกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบ กลุ่มบริษัทฯ จึงนำกระบวนการรีไซเคิลขั้นสููงมาใช้ ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัดลงได้อย่างมาก โดยบริษัท อินทรี อีโคไซเคิล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ได้ดำเนินการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่ธุรกิจด้วยโซลูชันการจัดการของเสียให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ผ่านกระบวนการเผาร่วมในเตาเผาปูนซีเมนต์ ซึ่งช่วยกำจัดของเสียโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อกำหนดมาตรฐานการจัดการของเสียอันตราย พร้อมทั้งดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทดแทนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ไม่เพียงช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ยังมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาการกำจัดของเสีย กลุ่มบริษัทฯ จึงกำหนดเป้าหมายเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงและวัตถุดิบจากของเสียในกระบวนการผลิตปูนเม็ด จากปริมาณเดิม 0.5 ล้านตัน เป็นมากกว่า 1.4 ล้านตันต่อปี พร้อมกันนี้ยังมีแผนเพิ่มการใช้ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เถ้าลอย (Fly Ash) และตะกรัน (Slag) อีกร้อยละ 65 หรือมากกว่า 1.7 ล้านตันต่อปี ในการผลิตวัสดุประสานซีเมนต์ภายในปี 2573 ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เพื่อขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ข้อมูลปริมาณขยะและของเสีย
| Detail | Unit | Year | ||
|---|---|---|---|---|
| 2022 | 2023 | 2024 | ||
| Total waste* | Kilograms | 32,539,110.50 | 94,901,345.11 | 67,132,033.28 |
| Total Non-hazardous waste | Kilograms | 30,827,170.10 | 75,026,686.89 | 45,694,096.50 |
| Garbage and non-hazardous waste - Landfill | Kilograms | - | ||
| Garbage and non-hazardous waste - Incineration with energy recovery | Kilograms | 37,792,192.40 | ||
| Garbage and non-hazardous waste - Incineration without energy recovery | Kilograms | 69,860.00 | ||
| Garbage and non-hazardous waste - other | Kilograms | 7,832,044.10 | ||
| Total Hazardous waste | Kilograms | 1,711,940.40 | 19,874,658.22 | 21,437,936.78 |
| Garbage and hazardous waste - Landfill | Kilograms | - | - | |
| Garbage and hazardous waste - Incineration with energy recovery | Kilograms | 19,664,055.00 | ||
| Garbage and hazardous waste - Incineration without energy recovery | Kilograms | 1,236,716.00 | ||
| Garbage and hazardous waste - other | Kilograms | 537,165.78 | ||
| Total Reused/Recycled Waste | Kilograms | 31,032,034.90 | 38,968,552.10 | 12,214,406.30 |
| Reused/Recycled non-hazardous waste | Kilograms | 30,757,904.90 | 38,800,262.10 | 11,310,834.30 |
| Non-hazardous waste and materials reused (Reuse) | Kilograms | |||
| Non-hazardous waste and materials reused (Recycle) | Kilograms | |||
| Reused/Recycled hazardous waste | Kilograms | 274,130.00 | 168,290.00 | 903,572.00 |
| Hazardous waste and materials reused (Reuse) | Kilograms | 528,082.00 | ||
| Hazardous waste and materials reused (Recycle) | Kilograms | 375,490.00 | ||
| Total Non - Reused/Recycled Waste** | Kilograms | 1,507,075.60 | 55,932,793.01 | 54,917,626.98 |
Remark: Further, the Company disclosed its waste and waste volume data (according to the Stock Exchange of Thailand’s ESG Data). The disclosed information covers the Group's cement segment, both domestic and international, which includes Siam City Cement Public Company Limited (including head office), Siam City Cement (Vietnam) Company Limited, Siam City Cement (Bangladesh) Company Limited, and Siam City Cement (Lanka) Company Limited, as well as the Group's waste heat power generation business through Siam City Power Company Limited.
(*) Exclude the total weight of waste generated outside of the Company, which is not responsible for the waste disposal or treatment cost.
(**) Non-Reused/Recycled Waste is calculated as Total Waste – Total Reused/Recycled Waste. This waste is disposed of through Incineration with energy recovery, Incineration without energy recovery, and Other methods.
แนวทางบริหารจัดการขยะและของเสีย
ด้วยตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากของเสีย กลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นในด้านของการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ซึ่งแนวทางนี้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรวัตถุดิบหลัก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสีย จึงดำเนินการติดตามปริมาณ แยกประเภทของเสีย รวมถึงใช้ระบบจัดการการกำจัดของเสีย โดยส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อจัดการปัญหาอย่างยั่งยืนผ่านแนวทางการจัดการของเสียตามลำดับขั้นมาใช้ โดยเน้นการป้องกัน การลดปริมาณ การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การแปรรูปเป็นพลังงาน และการกำจัดของเสียที่สำคัญ คือ
โครงการสำคัญ
- โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ กลุ่มบริษัทฯ มีการดำเนินความร่วมมือกับภาครัฐ สถาบันการศึกษา และพันธมิตรภาคเอกชนในโครงการสำคัญ เช่น การจัดตั้งจุดรับคืนวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติกใช้ครั้งเดียว เสื้อชั้นใน และชุดชั้นใน รวมถึงการดำเนินโครงการขุดเหมืองขยะ (Landfill Mining) เพื่อสกัดทรัพยากรที่มีค่าจากกองขยะ แนวทางเหล่านี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะสนับสนุนพันธมิตรด้านความยั่งยืนให้สามารถบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดขยะพลาสติกได้
- โครงการบริการการทำความสะอาดเครื่องจักรอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมที่ยั่งยืน: กลุ่มบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนของพันธมิตร โดยโซลูชันนวัตกรรมของบริษัทฯ มุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเสริมสร้างประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการดำเนินงานหนึ่งในนวัตกรรมสำคัญ เช่น โซลูชันการทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันและก๊าซ ซึ่งช่วยลดปริมาณของเสียและเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน อาทิ เทคโนโลยีการทำความสะอาดถังเก็บน้ำมันด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Tank Cleaning) โดยใช้ Crawler Robots ที่สามารถทำงานในพื้นที่อันตรายโดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้าไปปฏิบัติงานโดยตรง ส่งผลให้สามารถเพิ่มความปลอดภัย ลดของเสีย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญ และการร่วมพัฒนาเทคโนโลยี Electromotive Cleaning กับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อใช้ในการทำความสะอาดท่อส่งน้ำมันใต้ทะเลและสินทรัพย์อื่นที่ต้องปลดระวาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดของเสียประเภทของเหลว ได้ดีกว่าวิธีการแบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดความเสี่ยงต่อพนักงาน และสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ สิ่งแวดล้อม และสังคม ของประเทศไทยและทั่วโลก
สำหรับ ข้อมูลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ของกลุ่มบริษัทฯ ฉบับเต็ม ท่านสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่: https://sccc.listedcompany.com/misc/one-report/2024/20250325-sccc-form-561-2024-en.pdf
ความหลากหลายทางชีวภาพและการบริหิารจัดการทรัพยากรน้้ำ
กลุ่มบริษัทฯ ตระหนักดีว่าทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพและน้ำ เป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศและเป็นทรัพยากรหลักที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากธรรมชาติอย่างมีความรับผิดชอบ การบริหารจัดการทรัพยากรเหล่านี้อย่างยั่งยืนจึงถือเป็น กลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญของกลุ่มบริษัทฯ
ภายใต้แนวทางการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบ กลุ่มบริษัทฯ ได้กำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูระบบนิเวศ และใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันแก่ธุรกิจ ชุมชน และธรรมชาติอย่างยั่งยืน
การพิทักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ
กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ น้ำเป็นทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาและมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนน้ำยังคงเป็นอุปสรรคที่ส่งผลให้เกิดการสูญเสียความ หลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงส่งผลกระทบต่อวงจรสารอาหารในดิน พืชพรรณ และพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ ปัญหาเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันและ เกี่ยวข้องกับการจัดการการพังทลายของดิน รวมถึงการควบคุมคุณภาพและปริมาณของน้ำ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นสิ่ง ที่ละเลยไม่ได้เราจึงต้องให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติที่ดีทีสุด เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ได้กำหนดเป้าหมายการ พัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ทั้ง 17 ข้อไว้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำสะอาดและสุขาภิบาลสำหรับทุกคน
กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะลดการใช้น้ำจำเพาะลงมากกว่าร้อยละ 20 และเพิ่มการใช้แหล่งน้ำผิวดินเป็นมากกว่าร้อยละ 45 ภายในปี 2573 โดยดำเนินการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มบริษัทฯ มีการดำเนินงานเพื่อลดการสูญสียน้ำโดยไม่จำเป็นในระหว่างกระบวนการผลิต และมองหา โอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำให้ดียิ่งขึ้น
| Detail | Unit | Year 2020 Baseline | 2024 Performance | 2030 Target |
|---|---|---|---|---|
| Water Consumption | l/ton cem | 301 | 245 | 240 |
| Surface Water Usage | % | 32 | 37.5 | 45 |
Remarks: The disclosed information includes the Group's cement segment, domestic and international, which includes Siam City Cement Public Company Limited, Siam City Cement (Vietnam) Limited, Siam City Cement (Bangladesh) Limited, and Siam City Cement (Lanka) Limited, and the waste heat power generation business which includes Siam City Power Company Limited. Including the joint venture company, Chip Mong Insee Cement Corporation.
แนวทางจัดการทรัพยากรน้ำ
กลุ่มบริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำท่ามกลางความท้าทายของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปัจจุบัน ในแต่ละโรงงานภายในกลุ่มบริษัทฯ ได้แวงแผนการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนและเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการวัดปริมาณการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มบริษัทฯใช้แนวทางและเครื่องมือวิเคราะห์จาก Global Cement and Concrete Association (GCCA) ในการชี้จุดและติดตามความเป็นได้ของการสูญเสียน้ำเพื่อหาโอกาสในการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังมีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่โรงงานแต่ละประเทศ เพื่อกักเก็บน้ำผิวดิน จากทั้งบ่อน้ำขุดและบ่อจากการทำเหมือง รวมถึงน้ำฝนไว้ใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการทดแทนและลดการพึ่งพาน้ำใต้ผิวดินตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573 ของกลุ่มบริษัทฯ
บริษัทฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ เพื่อกำกับ ดูแล และขับเคลื่อนการดำเนินงานและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำหรับพื้นที่ปฏิบัติการในจังหวัดสระบุรี ซึ่งครอบคลุมถึง
- การทบทวนและพัฒนาแผนผังการใช้น้ำ (Water Diagram)
- การตรวจสอบความถูกต้องของมาตรวัดน้ำและปรับปรุงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
- การตรวจสอบและวิเคราะห์สมดุลน้ำ (Water Balance)
- การทดสอบและตรวจสอบการทำงานของมาตรวัด พร้อมดำเนินการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่หากชำรุด
- การสำรวจมาตรวัดน้ำและท่อส่งน้ำ พร้อมจัดทำรายการมาตรวัดน้ำ (Water Meter List)
- การตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำและวางแผนซ่อมบำรุงในพื้นที่วิกฤต
กระบวนการดังกล่าวจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนการปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ และผลักดันให้เกิดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการนำทรัพยากรน้ำกลับมาใช้ใหม่ และลดการใช้น้ำที่มาจากแหล่งน้ำใต้ดิน รวมทั้งติดตามและปรับปรุงต่อเนื่อง โดยทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอให้สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนขององค์กร
กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เราปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการตรวจสอบการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย และค่าคุณภาพน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอ โดยผลการตรวจสอบยืนยันว่าคุณภาพน้ำยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้ การดำเนินกลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์ทั้งของกลุ่มบริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามแนวทางด้านความยั่งยืนของสมาคมปูนซีเมนต์และคอนกรีตโลก (Global Cement and Concrete Association: GCCA) ซึ่งมีการติดตาม และรายงานข้อมูลการใช้น้ำ ครอบคลุมตัวชี้วัดสำคัญอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อีกทั้ง ข้อมูลการใช้น้ำในพื้นที่ปฏิบัติการในจังหวัดสระบุรี ได้รับการตรวจสอบภายใต้กระบวนการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้ดำเนินการทวนสอบตามข้อกำหนดเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์สำเร็จรูปขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
ข้อมูลผลการดำเนินงานด้านน้ำท่านสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ SD Performance Index 2024 https://siamcitycement.com/en/esg/-esg-publications และ ESG Data Report https://investor.siamcitycement.com/storage/content/downloads/one-report/2024/20250502-sccc-esg-2024-en.pdf
โครงการสำคัญ
กลุ่มบริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและคุณภาพน้ำในแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของกระบวนการผลิตและต้นทุนการดำเนินงานได้ กลุ่มบริษัทฯ จึงดำเนินการประเมินและบริหารความเสี่ยงด้านน้ำอย่างเป็นระบบ โดยติดตามต้นทุนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำสำรอง การบำบัดคุณภาพน้ำ การดูแลบ่อกักเก็บน้ำ และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงและเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านน้ำในระยะยาว ผ่านการลงทุนพัฒนาระบบการจัดการน้ำในด้านต่างๆ อาทิ การพัฒนาโครงการปรับปรุงระบบมาตรวัดน้ำ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการตรวจสอบการใช้น้ำ การพัฒนาระบบการรีไซเคิลน้ำเสียในระบบ Waste Heat Recovery (WHR) รวมถึงการเก็บกักน้ำฝนมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิต เป็นต้น
- โครงการปรับปรุงระบบมาตรวัดน้ำ กลุ่มบริษัทฯ มีการลงทุนปรับปรุงระบบมาตรวัดน้ำ โดยนำมอเตอร์ปรับความเร็วรอบ (Variable Speed Drive : VSD) มาใช้เพื่อปรับปรุงการไหลของน้ำ และลดการรั่วไหล อีกทั้งมีการพัฒนาแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือสำหรับบันทึกค่ามาตรวัดน้ำ ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามปริมาณการใช้น้ำได้อย่างแม่นยำ และสะดวกกับผู้ใช้งาน ทำให้สามารถติดตามข้อมูลการใช้ทรัพยากรน้ำได้อย่างเป็นระบบ มีความแม่นยำสูง และสามารถตรวจสอบติดตามการใช้น้ำได้มีประสิทธิภาพ มากขึ้น
- โครงการแจ้งจุดรั่วซึมน้ำภายในโรงงาน กลุ่มบริษัทฯ มีการดำเนินกิจกรรมแจ้งจุดรั่วซึมน้ำภายในโรงงาน โดยเชิญชวนให้พนักงานและผู้รับเหมามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและแจ้งจุดรั่วซึมหรือรั่วไหลของน้ำในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อกระตุ้นให้มีการแจ้งปัญหา เชิงรุกและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการครอบคลุมธุรกิจปูนซีเมนต์ของบริษัทฯ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
- โครงการอ่างเก็บน้ำผิวดิน กลุ่มบริษัทฯ ได้สร้างบ่อกักเก็บน้ำเป็นแหล่งน้ำสำรองผิวดิน โดยโครงการดังกล่าวมีการดำเนินการในพื้นที่ปฏิบัติการหลายแห่ง คือ จังหวัดสระบุรี จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บ่อ Open Pit ความจุประมาณ 200,000 ลูกบาศก์เมตร และ บ่อ P8 ความจุประมาณ 25,000 ลูกบาศก์เมตร ที่ประเทศเวียดนาม ได้แก่ ในพื้นที่ท่าเรือ Cat Lai และพื้นที่โรงงาน Hiep Phuoc และที่ประเทศศรีลังกา ได้แก่ พื้นที่โรงงานปัตตาลัม ทั้งนี้ น้ำจากแหล่งสำรองน้ำผิวดินต่าง ๆ ข้างต้น จะถูกนำมาใช้ในขั้นตอนการควบคุมมลภาวะที่อาจเกิดขึ้น และควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นการทดแทนและลดการพึ่งพาน้ำใต้ผิวดินตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2030 ของกลุ่มบริษัทฯ ที่มุ่งส่งเสริมการใช้น้ำผิวดินให้ได้มากกว่าร้อยละ 45
- โครงการไม่ทิ้งน้ำ (Zero Discharge) กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการกำจัดการน้ำเสียโดยสมบูรณ์ โดยน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตภายในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท จะถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการบำบัดก่อนนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ทั้งหมด จึงทำให้ไม่มีน้ำเสียออกออกสู่แหล่งน้ำภายนอกจนเป็นศูนย์ นอกจากนี้ในพื้นที่ปฏิบัติการที่ประเทศเวียดนาม ได้จัดให้มีระบบบำบัดน้ำด้วยระบบ Waste Heat Recovery(WHR) ภายในพื้นที่ของโรงงาน Hon Chong :ซึ่งน้ำที่ใช้ในการผลิต จะได้รับการบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ จำนวน 10,000–15,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี และยังสามารถนำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัด มาใช้ในโรงงาน Hon Chong และท่าเรือ Cat Lai กลับมาใช้ในธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทฯ ได้ด้วย
ขอบเขตการเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มบริษัทฯ
การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการใช้คำว่า “กลุ่มบริษัทฯ” ในบริบทนี้ ครอบคลุมเฉพาะบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งมีการทำเหมืองหินปูนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิต ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม และศรีลังกา โดยไม่รวมถึงประเทศบังกลาเทศ ซึ่งดำเนินการเฉพาะโรงงานบดปูนซีเมนต์เม็ด
พันธกิจเชิงกลยุทธ์และการกำหนดเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อความยั่งยืนของกลุ่มบริษัทฯ
คณะกรรมการบริษัทให้ความเคารพต่อทุนธรรมชาติ (Natural Capital) เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน อีกทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามและสนับสนุนการดำเนินงานในทุกระดับ เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง และมีกลยุทธ์ในการส่งเสริมให้เป้าหมายนี้บรรลุวัตถุประสงค์และมีความยั่งยืน
ในปี 2563 คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาและอนุมัติเป้าหมายด้านความยั่งยืน 5 ด้านของกลุ่มบริษัทฯ ให้บรรลุภายในปี 2573 โดย “ความหลากหลายทางชีวภาพและความสำคัญของน้ำ” เป็นหนึ่งในหัวข้อหลักของเป้าหมายดังกล่าว พร้อมทั้งอนุมัติตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPI) ได้แก่ การสร้างผลกระทบเชิงบวกสุทธิ (Net Positive Impact) ต่อความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี พ.ศ. 2573 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 ให้ฝ่ายจัดการแต่ละประเทศที่มีการทำเหมืองหินปูนมีความรับผิดชอบร่วมกัน
แนวทางการดำเนินงาน และความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและระดับสากล
ในทุกประเทศที่กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินกิจกรรมเหมือง มีการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment – EIA) สำหรับโครงการใหม่ (new project) เพื่อประกอบการขออนุญาต และสำหรับโครงการปัจจุบัน (existing project) เพื่อการต่อใบอนุญาต ซึ่งในรายงานดังกล่าวมีการพิจารณาประเด็นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนและภาครัฐร่วมกันประเมินและพิจารณาโครงการ และในขณะดำเนินงานยังมีการดำเนินการร่วมกับนักวิชาการของมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการด้านการประเมินตนเอง (Biodiversity Self Evaluation) และการสอบทานโดยผู้เชี่ยวชาญ (Biodiversity Audit) เพื่อการปรับปรุงแผนการทำงานอย่างต่อเนื่องv
ในระดับสากล บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นสมาชิกของสมาคมซีเมนต์และคอนกรีตโลก (Global Cement and Concrete Association – GCCA) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต และมีความร่วมมือกับสมาชิกซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ชั้นนำในแต่ละประเทศทั่วโลก ในการกำหนดเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกสุทธิ นอกจากนี้กลุ่มบริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ กับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature and Natural Resources – IUCN) ตั้งแต่ปี 2562 โดยกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (Roadmaps) เพื่อสนับสนุนแต่ละประเทศ ในการพัฒนาแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Action Plans)
เหล่านี้สะท้อนถึงเจตจำนงอันแน่วแน่ของกลุ่มบริษัทฯ ในการสร้างผลกระทบเชิงบวกสุทธิต่อความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนท้องถิ่น และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนป้องกัน ลดผลกระทบ ฟื้นฟู คุ้มครอง และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ดำเนินงานและบริเวณโดยรอบv
การประเมินถิ่นที่อยู่อาศัยสำคัญ และการจัดการความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
ในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการทำเหมือง จะมีผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลและทำการสำรวจภาคสนาม โดยมีข้อมูลพรรณไม้ หรือสัตว์ที่พบในบริเวณพื้นที่โครงการ รวมทั้งประเมินผลกระทบด้านทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าจากการดำเนินโครงการในช่วงต่อไปและตีค่าผลกระทบเป็นจำนวนเงิน รวมถึงการกำหนดมาตรการลด ควบคุม ป้องกันผลกระทบดังกล่าวให้กับหน่วยงานราชการพิจารณา
และเนื่องจากการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการทำเหมืองเป็นเงื่อนไขการขอใบอนุญาตทำเหมืองสำหรับโครงการใหม่ทุกโครงการ และสำหรับการต่อใบอนุญาต จึงทำให้กลุ่มบริษัทฯ ต้องดำเนินการเชิงรุก โดยการประเมินผลด้วยตนเองเป็นประจำทุกปีร่วมกับนักวิชาการ และมีการจ้างผู้เชี่ยวชาญอื่นทำหน้าที่สอบทานเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการตามแผนฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีพัฒนาการที่เหมาะสม
ลักษณะการทำเหมือง เป็นการทำเหมืองแบบ บ่อเหมืองบนผู้เขา ซึ่งจะทำการตัดไม้ออกเฉพาะบริเวณพื้นที่ทำเหมืองและพื้นที่ที่จะใช้ประโยชน์บริเวณตอนกลางของพื้นที่ และเว้นพื้นที่ขอบแปลงหรือรอบนอกภูเขาไว้ เพื่อเป็นแนวเขตกันชนและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และในการทำเหมืองช่วงต่อไปจะเป็นการทำเหมืองในพื้นที่หน้าเหมืองเดิมและขยายพื้นที่เพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย และการทำเหมืองได้จัดให้มีแผนการฟื้นฟูพื้นที่จากการทำเหมือง ซึ่งจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติได้ใกล้เคียงที่สุดอีกด้วย สำหรับเหมืองหินปูนในประเทศไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดสระบุรี มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชัน ส่วนบริเวณที่เป็นพื้นที่ป่าไม้ สภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณ และถูกกันพื้นที่เป็นแนวกันชนประมาณเกือบเท่ากันกับพื้นที่ทำเหมือง
กลุ่มบริษัทฯ มีการจัดการความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องตามขั้นตอนใน หลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้น (Mitigation Hierarchy) ต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเคร่งครัด ซึ่ง ดังนี้
หลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้น (Mitigation Hierarchy)

ตัวอย่างการกำหนดการบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้นพร้อมเป้าหมายและผลการดำเนินการรายปี
การหลีกเลี่ยง (Avoid) : กำหนดให้มีการป้องกันการตัดไม้ในบริเวณพื้นที่กันชน โดยตั้งเป้าหมายการตัดไม้ในบริเวณพื้นที่กันชนเป็นศูนย์ ซึ่งในปี 2567 ปฏิบัติได้ตามเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็นต์
การลดผลกระทบ (Minimize) : กำหนดให้มีการทำเหมืองเฉพาะในบ่อเหมือง (pit area) และดำเนินการในพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ในแผนผังโครงการทำเหมืองอย่างเคร่งครัด โดยตั้งเป้าหมายให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ซึ่งในปี 2567 ปฏิบัติได้ตามเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็นต์
การฟื้นฟู (Rehabilitate) : ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ซึ่งสิ้นสุดการทำเหมืองอย่างต่อเนื่องตามที่กำหนดใน EIA เช่น ในประเทศไทย ตั้งเป้าหมายพื้นที่ซึ่งต้องได้รับการฟื้นฟูจำนวน 5.875 ไร่ต่อปี ซึ่งในปี 2567 ปฏิบัติได้เกินเป้าหมาย คือมีพื้นที่ซึ่งมีการฟื้นฟูแล้วจำนวน 377 ไร่ มีการปลูกต้นไม้แล้วทั้งสิ้น 32,646 ต้น และมีเป้าหมายในการเพาะพันธุ์กล้าไม้จำนวน 40 พันธุ์ ซึ่งในปี 2567 ปฏิบัติได้เกินเป้าหมาย และมีเป้าหมายในการกำจัดกระถินยักษ์ซึ่งเป็นไม้ต่างถิ่นที่รุกรานพันธุ์ไม้อื่น ไม่ให้รุกรามพื้นที่ในจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งในปี 2567 ปฏิบัติได้ตามเป้าหมาย และมีเป้าหมายในการปฏิบัติตามข้อตกลงกับ IUCN ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งในปี 2567 ปฏิบัติได้ตามเป้าหมาย
การชดเชย (Offset) : การร่วมมือกับชุมชน หน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) หรือองค์กรอื่นในลักษณะเดียวกัน ในการปลูกป่าในพื้นที่ต่างๆ รอบนอกพื้นที่โรงงาน หรือโครงการอนุรักษ์ต้นไม้หรือสัตว์ป่าอื่นๆ เช่น ในประเทศศรีลังกา มีโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนที่เสียหายจากกิจกรรมการประมงและการท่องเที่ยว โดยดำเนินการร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์น้ำ (Wildlife and Ocean Resource Conservation – WORC) ในการปลูกต้นโกงกางจำนวน 1,500 ต้นและต้นไม้อื่นๆ อีก 1,500 ต้นรอบเกาะ Thalathuduwa และเกาะ Kurulu Duwa และปัจจุบันการดูแลติดตามผลดำเนินการโดย WORC หรือโครงการฟื้นฟูปะการังแนวชายหาดซึ่งเสียหายจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El-nino effect) คือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกกลางและตะวันออกบริเวณเส้นศูนย์สูตร อุ่นขึ้นผิดปกติ โดยการวางโครงสร้างเพื่อให้ปะการังและปลาต่างๆ อาศัยในการเติบโตสืบพันธุ์ และปัจจุบันการดูแลติดตามผลดำเนินการโดย ทหารเรือของศรีลังกาและ IUCN สำหรับในประเทศเวียดนาม มีโครงการดูแลนกกระเรียน (Sarus Crane) ในพื้นที่ Binh Tri และ Phu My

(รายละเอียดการดำเนินงานร่วมกับ IUCN ของบริษัทย่อยในประเทศศรีลังกาและเวียดนาม ปรากฏในเว็บไซต์ของ IUCN)
https://iucn.org/story/202212/iucn-sri-lanka-teams-insee-another-three-years-ensure-nbs-development
ตัวอย่างการกำหนดกิจกรรมลดผลกระทบในประเทศไทย ปี 2567

- โครงการกองทุนฟื้นฟูเหมือง กลุ่มบริษัทฯ สนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่หลังการทำเหมือง พร้อมจัดทำแผนการทำและแผนฟื้นฟูเหมืองประจำปี โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการสำรวจ ศึกษา และวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างระบบต่อเนื่องในพื้นที่ดำเนินงาน เพื่อให้การฟื้นฟูพื้นที่มีความใกล้เคียงกับสภาพระบบนิเวศดั้งเดิมมากที่สุด โดยจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลชนิดพันธุ์ไม้และสัตว์ เพื่อนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์สำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ฟื้นฟู ภายใต้โครงการนี้ บริษัทฯ ยังติดตามการเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้ที่ปลูก เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการฟื้นฟูว่าพื้นที่สามารถกลับคืนสู่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติได้เพียงใด ข้อมูลที่ได้ครอบคลุมทั้งด้านการฟื้นคืนถิ่นอาศัย (Habitat Restoration) การปกป้องพันธุ์ไม้และสัตว์ และการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ผลจากโครงการนี้ไม่เพียงช่วยให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความก้าวหน้าของบริษัทฯ ในการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราที่จะบรรลุเป้าหมาย Net-Positive Impact ภายในปี พ.ศ. 2573

- โครงการเพาะชำกล้าไม้ กลุ่มบริษัทฯ ได้สำรวจความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่บริเวณป่าแนวกันชน พบว่ามีพันธุ์ไม้พื้นถิ่นในพื้นที่กว่า 100 สายพันธุ์ จึงได้เก็บเมล็ดพันธุ์ไม้จากพื้นที่ธรรมชาติในพื้นที่บริเวณแนวกันชนมา และจัดตั้งเรือนเพาะพันธุ์พืช เพื่อเพาะชำพันธุ์ไม้ เพื่ออนุรักษ์ และนำไปใช้ฟื้นฟูพันธุ์ไม้พื้นถิ่นให้สอดคล้องกับสภาพป่าดั้งเดิมและระบบนิเวศท้องถิ่น นอกจากนี้ พันธุ์ไม้ที่ได้จากสถานเพาะพันธุ์ยังนำไปดำเนินโครงการกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) อื่น ๆที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรอบ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะเพาะพันธุ์ไม้ท้องถิ่นอย่างน้อย 50 สายพันธุ์ภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งจนถึงปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพาะพันธุ์ไม้พื้นถิ่นไปแล้วมากกว่า 40 สายพันธุ์ นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการควบคุมการเติบโตของพันธุ์ไม้คุกคาม (invasive species) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่กระจาย และลดทอนความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ฟื้นฟู
ตัวอย่างพันธุ์ไม้ท้องถิ่นในเรือนเพาะชำ

ชื่อสามัญ แจง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Maerua siamensis (Kurz) Pax

ชื่อสามัญ มะซาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mudhuca pierrei (William) H.J. Lam

ชื่อสามัญ เสี้ยว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia variegata L.

ชื่อสามัญ ฝาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Caesalpinia sappan L.

ชื่อสามัญ ขันทองพยาบาท
ชื่อวิทยาศาสตร์ Suregada multiflorum (A. Juss.) Baill.
- โครงการ Give & Grow กลุ่มบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อน โครงการปลูกป่านอกพื้นที่ (Offsite Tree-Planting Initiative) เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในวงกว้าง โดยบริษัทฯ มอบต้นกล้าจาก เรือนเพาะชำของบริษัทฯ ให้แก่หน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น เพื่อนำไปปลูกป่าและฟื้นฟูพื้นที่ธรรมชาติ โดยตั้งเป้ามอบต้นกล้า 500 ต้นต่อปี และในปี 2024 บริษัทฯ ได้ส่งมอบต้นกล้าแล้วกว่า 900 ต้น โดยร่วมมือกับ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, ศูนย์ธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า และชุมชนในพื้นที่ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงบทบาทของบริษัทฯ ในการเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนและประเทศ

- โครงการกล้าไม้ชุมชนและกล้าไม้โรงเรียน กลุ่มบริษัทฯ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนและโรงเรียนในการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ ผ่านกิจกรรมโครงการกล้าไม้ชุมชนและกล้าไม้โรงเรียน จำนวนรวมกว่า 800 ต้นต่อปี ซึ่งช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชนและเยาวชนท้องที่ในฐานะผู้ร่วมขับเคลื่อนการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
- กล้าไม้ชุมชน : กลุ่มบริษัทฯ จะรับซื้อกล้าไม้ที่ชุมชนร่วมกันเก็บเมล็ดพันธุ์ในพื้นที่ แล้วเพาะพันธุ์เป็นกล้าไม้ เพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่เหมือง ถือเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ
- กล้าไม้โรงเรียน : กลุ่มบริษัทฯ มอบต้นกล้าขนาดเล็กจากเรือนเพาะชำให้กับโรงเรียน เช่น โรงเรียนอนุบาลทับกลาง เพื่อให้นักเรียนช่วยกันดูแลและเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ เมื่อกล้าไม้เติบโตจนแข็งแรงเพียงพอ บริษัทฯ จะนำกลับมาใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่เหมืองต่อไป
- โครงการให้ความรู้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Knowledge sharing to stakeholder) การทำห้องเรียนความรู้นิเวศวิทยา เพื่อเผยแพร่ความรู้ และข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพในเขตพื้นที่ Saraburi Quarry ให้ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งจัดงานวัน open house เพื่อให้ชุมชนและโรงเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม เพื่อสร้างเสริมการตระหนักรู้ และปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นถัดไป มีส่วนร่วมในการรักษาโครงการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพที่ตนและชุมชนมีส่วนร่วม


การดำเนินงานด้านสังคม
ถ้อยแถลงประเด็นสิทธิมนุษยชน กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง
กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง มีเจตนารมณ์ที่จะยึดมั่น เคารพ และปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ในกระบวนการทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นธรรม ซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และมีจริยธรรม ทั้งกับพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า คู่ความร่วมมือ และกลุ่มบุคคลที่ทำธุรกรรมกับกลุ่มบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังคาดหวังและส่งเสริมให้คู่ความร่วมมือทุกราย ปฏิบัติตามกฎหมายและแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกันกับกลุ่มบริษัทฯ ด้วย เพื่อร่วมกันสร้างความสัมพันธ์ที่นำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม
กลุ่มบริษัทฯ ได้สื่อสารแนวทางและความคาดหวังด้านสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจนต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงพนักงาน คู่ค้า ผู้รับเหมา และพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ จรรยาบรรณทางธุรกิจ (Code of Conduct) นโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยื่นซึ่งครอบคลุมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน และนโยบายจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Procurement Policy) หลักจรรยาบรรณทางธุรกิจและนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับคู่ค้า ตลอดจนกระบวนการคัดเลือกและประเมินคู่ค้าทั้งรายปัจจุบันและรายใหม่อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกฝ่ายเข้าใจและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม
การดูแลในเรื่องสิทธิมนุษยชน
กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการเคารพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยยึดมั่นในการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ปราศจากการเลือกปฏิบัติ กลุ่มบริษัทฯ จึงได้กำหนดให้ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในสาระสำคัญของ จรรยาบรรณทางธุรกิจ ซึ่งกำหนดให้พนักงานทุกคนต้องเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรดังกล่าว และมีการจัดอบรมเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้เกี่ยวกับการเคารพสิทธิมนุษยชนในการปฏิบัติงานและการอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสม และการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการทำงาน
บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย เคารพซึ่งกันและกัน และปราศจากการคุกคาม เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรและเป็นธรรมต่อพนักงานทุกคน หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย (Head of Legal) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกลั่นกรองที่ตรวจสอบ กรณีที่มีเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทาง INSEE Speak Up มีบทบาทสำคัญในการดูแลให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และจรรยาบรรณทางธุรกิจ รวมถึงให้คำแนะนำด้านกฎหมายและจัดการกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้ง การคุกคาม หรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมในสถานที่ทำงาน โดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงาน สิทธิมนุษยชน และการจัดการเรื่องร้องทุกข์ภายในองค์กร
ตามนโยบายการแจ้งเบาะแสของบริษัทฯ เรื่องร้องเรียนที่เข้ามาทางช่องทาง INSEE Speak Up จะถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการกลั่นกรอง ซึ่งจะทำการสอบสวนอย่างรอบคอบ ยุติธรรม และเป็นความลับ พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันให้ฝ่ายบริหารดำเนินการต่อไป บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ปราศจากการเลือกปฏิบัติ การกลั่นแกล้ง และการคุกคามทุกรูปแบบ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและมีศักดิ์ศรีในที่ทำงาน
การสร้างความมีส่วนร่วมของชุมชน และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
เป้าหมายของกลุ่มบริษัทฯสร้างความมีส่วนร่วมของชุมชนและกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย อย่างต่อเนื่อง
การดูแลชุมชน
กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของชุมชน ผ่านการพัฒนาแผนการมีส่วนสชร่วมประจำปีสำหรับแต่ละหน่วยธุรกิจ โดยแผนเหล่านี้จะผสานรวมโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร ทั้งในระหว่างและหลังการดำเนินธุรกิจ (In-process and After-process CSR) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด โดยการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการวางแผนการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนา และใช้ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของกลุ่มบริษัทฯ อย่างเต็มที่

หนึ่งในกิจกรรมสำคัญคือ โครงการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (Evening Visit Project) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและความไว้วางใจระหว่างบริษัทฯ กับชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มบริษัทฯ โครงการดังกล่าวจัดให้มีการเยี่ยมเยียนชุมชนรอบโรงงานในอำเภอแก่งคอยและอำเภอมวกเหล็กเป็นประจำทุกเดือน โดยคณะทำงานจากบริษัทฯ จะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็น ปรึกษาหารือ และรวบรวมข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับโครงการและการดำเนินงานของบริษัทฯ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการพัฒนาชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางปรับปรุงอย่างสร้างสรรค์

การดำเนินกิจกรรมดังกล่าวมีการจัดทำรายงานการประชุมอย่างเป็นระบบในทุกครั้ง พร้อมบันทึก ประเด็นการดำเนินการ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามผลและรายงานความคืบหน้าในครั้งถัดไป โดยมุ่งเน้นการแก้ไขประเด็นที่ได้รับจากชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทฯ ได้แต่งตั้ง ผู้แทนจากฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ (Community Relations Department) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยมีการกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบ และการจัดสรรทรัพยากรอย่างชัดเจน เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารแบบสองทาง (Two-way Communication) เพื่อให้ชุมชนสามารถสะท้อนความคิดเห็นและข้อกังวลได้โดยตรง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับบริษัท เช่น การพัฒนาพื้นที่สีเขียว การส่งเสริมอาชีพ การสนับสนุนการศึกษา และกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน แต่ยังสร้างความสัมพันธ์อันยั่งยืนระหว่างบริษัทฯ และชุมชนโดยรอบ
ทั้งนี้ ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมสำคัญที่บริษัทฯ ดำเนินการได้ใน รายงานประจำปีแบบ 56-1 One Report หัวข้อการพัฒนาอย่างยั่งหรือ หรือเว็บไซต์บริษัทฯ เมนูการทำงานด้านสังคม บนเว็บไซต์ของบริษัทฯ https://www.siamcitycement.com/th/esg/-s-social
การบริหารจัดการและพัฒนาคู่ค้าอย่างยั่งยืน
กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับคู่ค้าในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร การสร้างความร่วมมือที่มั่นคงและยั่งยืนกับคู่ค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย กลุ่มบริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการและพัฒนาคู่ค้าอย่างเป็นระบบ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการดำเนินงานตามแนวทางความยั่งยืน (ESG) เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าทุกคนดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทฯ ตระหนักว่าการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าและบริการ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น กลุ่มบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการดำเนินงานอย่างมีระบบภายใต้แนวทางดังกล่าว จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของคู่ค้า ส่งเสริมให้สามารถส่งมอบสินค้าและบริการได้อย่างมีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนป้องกันผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น กลุ่มบริษัทฯ จึงกำหนดให้กรอบการดำเนินงานด้านการจัดซื้อเป็นไปตามแนวปฏิบัติด้านการจัดซื้ออย่างยั่งยืน (ESG) ซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานของทั้งกลุ่มบริษัทฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
กระบวนการจัดซื้อจัดหาของบริษัทฯ ดำเนินการผ่านการประกวดราคา การประเมิน และการคัดเลือกคู่ค้าอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญกับคู่ค้าที่มีประสิทธิภาพและดำเนินธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณ ภายใต้กรอบแนวปฏิบัติของจรรยาบรรณของผู้ขายสินค้าและผู้ให้บริการ (Supplier Code of Conduct) ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environment, Social and Governance: ESG)
กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคู่ค้าที่มีวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับกลุ่มบริษัทฯ โดยยึดถือ แนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) เป็นหลักสำคัญในการดำเนินความร่วมมือทางธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าทั้งรายใหม่และรายปัจจุบันมีคุณสมบัติเหมาะสม กลุ่มบริษัทฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการคัดเลือกคู่ค้าอย่างชัดเจน โดยใช้แบบประเมินคุณสมบัติเบื้องต้นที่ครอบคลุมประเด็นด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน สิทธิมนุษยชน และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social and Governance: ESG) นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาปัจจัยด้านต้นทุน ความสามารถในการให้บริการ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของคู่ค้า เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้ามีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืน

การส่งเสริมและยกระดับศักยภาพของคู่ค้า
กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นในการส่งเสริมและยกระดับศักยภาพของคู่ค้า เพื่อให้สามารถเติบโตร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยดำเนินโครงการจัดซื้อจัดหาอย่างยั่งยืน (Sustainable Procurement) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าที่มีความตระหนักและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการจัดหาวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียว (Green Label) จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI: Thai Environment Institute) รวมถึงการส่งเสริมการใช้ เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น เชื้อเพลิงชีวมวล ขยะอุตสาหกรรม หรือวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิต เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังส่งเสริมให้คู่ค้าเข้าร่วมโครงการ อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการรักษาระดับการรับรอง อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 2 เป็นอย่างน้อย ซึ่งบริษัทฯ มีบทบาทในการให้คำแนะนำและร่วมวางแผนการพัฒนาอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน มีคู่ค้าเข้าร่วมโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวแล้วกว่า 37 บริษัท รวม 45 โรงงาน ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนในระยะยาว
Occupational Health & Safety
ความปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด จึงเป็นพันธกิจเชิงกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของกลุ่มบริษัท
คณะกรรมการบริษัทให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัยเป็นลำดับแรกของการกำกับดูแลเสมอ ด้วยความตระหนักว่าความปลอดภัยในการทำงาน คือสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ต้องอยู่ในทุกขั้นตอนของการทำงาน และทุกระดับของการกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ผู้บริหาร คณะกรรมการ รวมทั้งตัวของพนักงานและผู้มีส่วนร่วมในการทำงานและชุมชนรอบโรงงาน
ในปี 2563 คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาและอนุมัติเป้าหมายด้านความยั่งยืน 5 ด้านของกลุ่มบริษัทฯ ให้บรรลุภายในปี 2573 โดย “อาชีวอนามัยและความปลอดภัย” เป็นหนึ่งในหัวข้อหลักของเป้าหมายดังกล่าว พร้อมทั้งอนุมัติตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPI) ได้แก่ การเป็นสถานประกอบการที่ภัยอันตรายเป็นศูนย์ (Zero Harm) ทั้งกลุ่มบริษัทฯ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ซึ่งเป็นกรรมการผู้บริหารได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทในการจัดตั้งคณะทำงานด้านความปลอดภัยระดับกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทย่อยที่มีโรงงานการผลิตในทุกประเทศและทุกกลุ่มธุรกิจเป็นคณะทำงาน โดยมีหัวหน้างานระดับกลุ่มด้านความปลอดภัยเป็นเลขานุการ โดยกำหนดขอบอำนาจหน้าที่และวิธีการรายงานในกฎบัตรอย่างชัดเจน และเรื่องความปลอดภัยจะปรากฏในวาระการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบในลักษณะ Compliance Dashboard อันเป็นการแสดงผลการติดตาม ตรวจสอบและรายงานสถานการณ์ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และข้อกำหนดต่างๆ ขององค์กร ซึ่งมีการทบทวนและรายงานต่อไปยังคณะกรรมการบริษัทในทุกการประชุม อีกทั้งกรณีมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยที่สำคัญ จะถูกนำไปรายงานให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาในการประชุมครั้งแรกหลังจากมีเหตุการณ์ทุกครั้ง
เพื่อให้การดำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยครอบคลุมทุกระดับ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการพัฒนาและปรับปรุงระบบดังกล่าว ผ่านการประชุมเรื่องความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานประจำเดือน ซึ่งมีตัวแทนพนักงานเข้าร่วมประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารเป็นประจำ เพื่อร่วมกันทบทวนสถานการณ์ด้านความปลอดภัย เสนอแนวทางปรับปรุงมาตรการป้องกัน และรายงานผลต่อคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการบริษัท ทั้งนี้ การหารือดังกล่าวถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยและการมีส่วนร่วมของพนักงานอย่างต่อเนื่อง
และโดยตระหนักว่าแรงงานของผู้รับเหมาก็ควรได้รับความคุ้มครองด้านความปลอดภัยในการทำงานด้วยเช่นกัน จึงได้เสริมกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยในหลายๆ ด้าน เช่น การรณรงค์เรื่อง “ความปลอดภัยเริ่มที่ตัวเรา อย่ามองข้าม - Safety Starts with Me and Don’t Walk Past Campaign” การรณรงค์เรื่อง “สามารถและทักษะที่จำเป็นในการทำงานอย่างปลอดภัย - Safety Competency” การจัดระบบบริหารจัดการความปลอดภัยของผู้รับเหมา – INSEE Contractor Safety Management” อีกทั้งมีการดำเนินการตามข้อกำหนดเรื่องระบบการบริหารงานด้านความปลอดภัย ที่ปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น
อีกทั้งสืบเนื่องจากการประเมินความเสี่ยงและจัดลำดับประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ซึ่งมีการทบทวนเป็นรายปี ซึ่งผลการประเมินสาระสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ ชี้ให้เห็นว่า อาชีวอนามัยและความปลอดภัยเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งต่อกลุ่มบริษัทฯ และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ฝ่ายจัดการจึงมีการพิจารณาผลกระทบต่อผู้คน สิ่งแวดล้อม และผลประกอบการทางธุรกิจ ในการเตรียมแผนกลยุทธ์และงบประมาณเพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติประจำปี รายละเอียดเรื่องการทำงานด้านธรรมาภิบาลที่อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการชุดย่อย สามารถดูได้จากเว็บไซต์ของบริษัท หัวข้อ “การทำงานด้านธรรมาภิบาล” (https://www.siamcitycement.com/th/esg/-g-governance)
การส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
สำหรับพนักงาน ซึ่งเป็นแรงผลักดันความสำเร็จขององค์กร ดังนั้นกลุ่มบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ดี รวมถึงการจัดสวัสดิการ และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลประกอบการ รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมชื่อเสียง และเสริมสร้างขวัญกำลังใจภายในองค์กรอีกด้วย จึงได้จัดทำแนวทางและวางระบบการจัดการเพื่อให้มั่นใจว่า จะสามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน อันรวมถึงมาตรการป้องกันความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ การบาดเจ็บและการเจ็บป่วย จากการปฏิบัติงาน ตลอดจนการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริม สุขภาวะทางกายและใจของพนักงาน
กลุ่มบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลด้านสุขภาพและความปลอดภัย จากบริษัทผู้ตรวจสอบที่ได้รับการรับรองระดับสากล และมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุมาตรฐานระดับโลกด้านคุณภาพ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน โดยบริษัทมุ่งป้องกันอุบัติเหตุและการเจ็บป่วยอย่างเชิงรุก ด้วยการรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานให้ปลอดภัย มีระบบการทำงานที่ปลอดภัย จัดหาอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่จำเป็น บังคับใช้ระเบียบปฏิบัติด้านความปลอดภัยตามแนวทางที่ดีที่สุด
เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัย กลุ่มบริษัทฯ ได้จัดการอบรมภาคบังคับทั้งการฝึกอบรมพนักงานใหม่ และการฝึกทบทวนความรู้ประจำปีซึ่งครอบคลุมพนักงาน ผู้รับเหมา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ครบร้อยละ 100 เป็นประจำทุกปี ซึ่งการอบรมประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ ดังนี้
| หลักสูตร | กลุ่มเป้าหมาย | ||
|---|---|---|---|
| พนักงาน | ผู้รับเหมา | ||
| หลักสูตรความปลอดภัยพื้นฐาน | |||
| 1. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานใหม่ | พนักงานใหม่ทุกคน | ผู้รับเหมาใหม่ทุกคน | |
| 2. เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ระดับบริหาร | พนักงานระดับบริหารทุกคน | - | |
| 3. เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ระดับหัวหน้างาน | พนักงานระดับหัวหน้างานทุกคน | - | |
| 4. ความรู้เรื่องโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม | ทุกคน | - | |
| 5. กฎระเบียบข้อบังคับด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้รับเหมา Zone A (พื้นที่ทำงานที่มีความเสี่ยงสูง) | - | ทุกคน* | |
| 6. กฎระเบียบข้อบังคับด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้รับเหมา Zone C (พื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ) | - | ทุกคน* | |
| 7. การดับเพลิงขั้นพื้นฐาน | อ้างอิงตามกฎหมายกำหนด | - | |
| หลักสูตรตามระบบการบริหารจัดการการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของกลุ่มบริษัทฯ และความเสี่ยงของงานในแต่ละตำแหน่งงาน | |||
| ความปลอดภัย อาชีวอนามัย | 1. ระบบการบริหารจัดการด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (อินทรีกรุ๊ป) OHSMS | ทุกคน | - |
| 2. อบรมความปลอดภัยด้านการขับขี่ยานพาหนะเชิงป้องกันสำหรับรถยนต์ 4 ล้อ | พนักงานใหม่ทุกคน* | ผู้รับเหมาใหม่ทุกคน* | |
| 3. อบรมทบทวนการขับขี่อย่างปลอดภัยประจำปี | ทุกคน* | ทุกคน* | |
| 4. คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน | สมาชิกคณะกรรมการความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการทุกคน | - | |
| 5. อบรมความปลอดภัยในการทำงานที่อับอากาศ (ทบทวนทุก 5 ปี) | ทุกคน* | ทุกคน* | |
| 6. อบรมความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับปั้นจั่น (ทบทวนทุก 2 ปี) | ทุกคน* | ทุกคน* | |
| 7. อบรมการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิต | ทุกคน* | ทุกคน* | |
| การตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน | 1. อบรมการดับเพลิงขั้นสูง | ทีมดูแลความปลอดภัยและผจญเพลิง | ทีมดูแลความปลอดภัยและผจญเพลิง |
| 2. ซ้อมแผนฉุกเฉินกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้และอพยพหนีไฟ | ทุกคน | ทุกคน | |
| 3. ซ้อมแผนฉุกเฉินกรณีสารเคมีหกรั่วไหล | ทุกคน* | ทุกคน* | |
| 4. ซ้อมแผนฉุกเฉินในการทำงานใกล้แหล่งน้ำ | ทุกคน* | ทุกคน* | |
*อ้างอิงตามความเสี่ยงของงานในแต่ละตำแหน่งงาน
แนวทางบริหารจัดการด้านความปลอดภัย
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน มีความสำคัญต่อทุกกลุ่มธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ โดยเฉพาะพื้นที่ปฏิบัติงานเหมืองและพื้นที่โรงงาน มีความเสี่ยงในการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิต สุขภาพ และทรัพย์สินของพนักงาน ครอบครัว และชุมชนใกล้เคียง รวมไปถึงการดำเนินโครงการและภาพลักษณ์ของบริษัทฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นของลูกค้า และสังคม
กลุ่มบริษัทฯ ใส่ใจ และมุ่งมั่่นในการดููแลพนักงานทั้งองค์รวมเพื่่อให้พนักงานมีความสุข สนุกกับการทำงาน สามารถสร้างสรรค์ผลงาน ที่มีคุณภาพ และส่งมอบคุณค่าให้กับองค์กรได้ในระยะยาว จึงกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานตามมาตรฐานระบบ ISO 45001:2018 และพระราชบัญญัติอาชีวอนามัยและความปลอดภัย พ.ศ. 2554 ด้วยการจัดให้มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม และปลอดภัย ครอบคลุมในทุกมิติ รวมไปถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงาน และครอบครัว และการดููแลเยียวยา กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจากการปฏิบัติงาน ทั้งนี้้ บริษัทฯ ได้กำหนดแผนงานโดยจัดให้มีการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจะเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ปฏิบัติงาน และโครงการก่อสร้างที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการดำเนินงาน ดังนี้
- การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment): ประเมินระดับความรุนแรง (Severity) และโอกาส (Likelihood) ที่อันตรายจะเกิดขึ้น เพื่อจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมทุกพื้้นที่ปฏิบัติงาน การดำเนินกิจกรรม เพื่่อนำมาวางแผนในการลด และควบคุุมความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
- การระบุอันตรายและป้องกันความเสี่ยง (Hazard Identification): ค้นหาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ วัสดุ กระบวนการทำงาน หรือสภาพแวดล้อม มากำหนดเป็นกฎเหล็ก ด้านความปลอดภัย เพื่่อเป็นแนวปฏิบัติให้พนักงาน และผู้รับเหมาปฏิบัติตาม
- การควบคุมความเสี่ยงและส่งเสริมการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Risk Control): ออกแบบและใช้มาตรการควบคุมเพื่อลดหรือกำจัดความเสี่ยงที่พบ รวมถึงพัฒนาระบบความปลอดภัย จัดอบรมให้แก่หัวหน้างาน เพื่อให้เข้าใจถึงระบบความปลอดภัยของบริษัทฯ และตรวจสอบความพร้อมของเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนเข้าปฏิบัติงานในพื้้นที่
- การติดตามและทบทวน (Monitoring and Review): ติดตามผลของมาตรการควบคุม เพื่่อรายงานผลต่อคณะกรรมการความปลอดภัย และคณะกรรมการบริหาร เดือนละ 1 ครั้ง พร้อมทั้งเสนอแผนการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ รวมทั้งกำหนดแผนดำเนินการกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
กลุ่มบริษัทฯ นำระบบการจัดการความปลอดภัยคุณภาพสูงมาใช้ในการควบคุมการปฏิบัติงาน ซึ่งบริษัทย่อยและหน่วยงานภายใต้กลุ่มธุรกิจกว่าร้อยละ 83 ได้รับการรับรองมาตรฐานจากบริษัทผู้ตรวจสอบที่ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน อาทิ ISO 45001 และ/หรือ TIS 18001 ทั้งนี้ คณะทำงานด้านความปลอดภัย มีการดำเนินการตรวจสอบ ความปลอดภัยในพื้นที่ปฏิบัติงานทุกแห่งทั้งในและต่างประเทศอยู่เป็นเป็นระยะ
กลุ่มบริษัทฯ ได้นำระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ISO 45001 และ/หรือมาตรฐาน TIS 18001มาใช้ในการควบคุมการปฏิบัติงานอย่างทั่วถึง โดยมีการรับรองจากหน่วยงานผู้ตรวจสอบอิสระที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน อาทิ SOCOTECH Certification UK Ltd, Intertek Certification Limited, Management System Certification Institute (Thailand) เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทย่อยและหน่วยงานภายใต้กลุ่มธุรกิจกว่าร้อยละ 83 ได้รับการรับรองระบบดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว สำหรับสัดส่วนที่เหลืออยู่ อยู่ในแผนการดำเนินงานเพื่อขอการรับรองมาตรฐาน เพื่อมุ่งสู่การมีระบบบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งกลุ่มบริษัทฯ
สำหรับประเทศไทย โรงงานสระบุรีได้รับรางวัล zero accident campaign จาก กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน เป็นประจำทุกปี
คณะทำงานด้านความปลอดภัยของกลุ่มบริษัทฯ ดำเนินการตรวจสอบและติดตามความปลอดภัยในพื้นที่ปฏิบัติงานทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานสอดคล้องตามข้อกำหนดของมาตรฐานดังกล่าว ทั้งนี้ โรงงานสระบุรี ประเทศไทย ได้รับรางวัล Zero Accident Campaign จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นประจำทุกปี ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและปราศจากอุบัติเหตุ
โครงการสำคัญ
- โครงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation): กลุ่มบริษัทฯ มีการนำระบบตรวจสอบอุปกรณ์ด้วยคิวอาร์โค้ดมาใช้ ช่วยให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความแม่นยำ และส่งเสริมการตัดสินใจเชิงข้อมูล (Data-driven) สำหรับการวางแผนซ่อมบำรุงได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์และการตรวจสอบด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OH&S) ได้อย่างโปร่งใสและทันที
- โครงการความปลอดภัยบนท้องถนน (Road Safety): กลุ่มบริษัทฯ มีการดำเนินกิจกรรมแคมเปญรณรงค์ด้านความปลอดภัยบนถนนของกลุ่มบริษัท ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการขับขี่ที่มีความรับผิดชอบ และกระตุ้นให้พนักงานปฏิบัติตามแนวทางการขับขี่ที่ปลอดภัยทั้งในและนอกเวลาทำงาน
- โครงการความร่วมมือด้านความปลอดภัย (Collaborative Safety): กลุ่มบริษัทฯ ได้การตรวจประเมินร่วมระหว่างองค์กร (Inter-organizational audits) และการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน (peer support) ช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบริษัทในกลุ่ม
- โครงการส่งเสริมสุุขภาพกายและสุุขภาพใจของพนักงาน: กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญสูงสุดต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และความปลอดภัยของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ผู้รับเหมา ชุมชนโดยรอบ หรือพันธมิตรทางธุรกิจ โดยดำเนินโครงการส่งเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่องในทุกปี เช่น โครงการ INSEE We’re Strong ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็ง รวมถึงโรคติดต่อ (CDs) อาทิ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และโรคโควิด-19 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ครอบคลุมทั้งมิติทางกายภาพและจิตใจโดยมุ่งเน้นทั้งพนักงานและชุมชนโดยรอบควบคู่กันไป พร้อมทั้งจัดให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพ และบริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนการเงิน เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเงินให้แก่พนักงาน
Human Rights & Community
Along the value chain, SCCC Group identifies the groups of stakeholders to ensure the effectiveness of our business operations by placing high value on information, suggestions and recommendations from key stakeholders. We analyze obtained information to formulate our engagement strategy to meet the requirements and expectations of stakeholders.
The company provided the Human Resources Policy is established to provide an overall framework and guiding principles with regards to Human Resources related processes and consistent practices across Group company. The Group aims to be a well-recognized employer in the construction and building material industry by creating competitive employment propositions, attracting, and retaining a high performing and diverse workforce, facilitating continual learning and personal growth while embedding a strong performance-driven culture and values into our working DNA.
The policy stipulates that the Head of Group Company HR (GC-HR) is responsible for implementing, maintaining and developing related HR processes and practices in line with this Human Resources Policy of the Group company.
การกำกับดูแลกิจการที่ดี
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC) ตระหนักถึงคุณค่าของการกำกับดูแลกิจการที่ดี และยังคงมุ่งมั่นในการนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) มาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกกระบวนการดำเนินงาน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
คณะกรรมการบริษัทได้จัดทำนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับกลุ่มบริษัท โดยนำหลักการและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียน ปี 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการบริษัทได้มอบหมายให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลดำเนินการทบทวนการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทฯ ให้สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและแนวปฏิบัติของหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง อาทิ ก.ล.ต. สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เป็นประจำทุกปี คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการได้หารือและดูแลให้มั่นใจว่าไม่มีประเด็นใดที่ส่งผลกระทบต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทฯ และบริษัทได้ปรับปรุงแนวปฏิบัติด้านการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่อง และรายงานความคืบหน้าต่อคณะกรรมการบริษัท
นโยบายค่าตอบแทนของกรรมการบริหารและผู้บริหาร
คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทนได้รับมอบหมายให้กำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนผู้บริหาร โดยยึดหลักความเป็นธรรม เหมาะสมกับหน้าที่ความรับผิดชอบ และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมายหลัก ผลการดำเนินงาน และผลประโยชน์ในระยะยาวของกลุ่มบริษัทฯ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราค่าตอบแทนของบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียง ซึ่งคณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทนมีความเห็นว่าโครงสร้างค่าตอบแทนมีทั้งแรงจูงใจและความท้าทาย และสามารถแข่งขันได้
โครงสร้างค่าตอบแทนประกอบด้วย เงินเดือน ค่าตอบแทนตามผลการดำเนินงานระยะสั้น (โบนัส) และค่าตอบแทนระยะยาว (Long-Term Incentive: LTI) ซึ่งทยอยจ่ายภายในระยะเวลา 3 ปี ตามเป้าหมายที่กำหนด โดย LTI ได้ถูกนำมาใช้กับสมาชิกคณะเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (Group Executive Committee: GEXCO) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้การบริหารงานมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
LTI ถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทฯ ในระยะยาว เสริมสร้างความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กร และให้ผลตอบแทนของผู้บริหารสอดคล้องกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้กำกับดูแลให้มีการกำหนดและสื่อสารนโยบายเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลงานอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าระบบค่าตอบแทนสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารและส่งเสริมความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว